เรื่องผี ครั้งแรกกับโรงแรมผีสิง

เรื่องผี ครั้งแรกกับโรงแรมผีสิง

เรื่องผี ครั้งแรกกับโรงแรมผีสิง

เรื่องผี ครั้งแรกกับโรงแรมผีสิง เมื่อ 30 ปีก่อน…ครั้งที่คนไทยไม่รู้จัก Internet หรือ Mobile Phone แม้แต่โทรศัพท์บ้าน หรือ Fixed line phone มีไว้สำหรับบริษัทใหญ่ๆเท่านั้น และทั้งประเทศมีเพียง 2-3 จังหวัดที่มีเครื่องบินไปลง การเดินทางส่วนใหญ่จึงใช้รถยนต์เป็นพาหนะเป็นหลัก
ผมออกจากรั้วมหาวิทยาลัยก็ร่อนเร่ไปทำงานจังหวัดต่างๆที่ไกลจากแสงสีเป็นคนกรุงเทพโดยกำเหนิดปากกัดตีนถีบอยู่เมืองหลวงมาจนเรียนจบไม่เคยไปไหนไกลกว่าอยุธยา ดังนั้นการไปทำงานต่างจังหวัด จึงเหมือนเป็นการผจญภัยครั้งใหญ่ในยุคสมัยนั้นแค่ 2 ทุ่มก็เงียบกันทั้งเมืองได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเองแข่งกับเสียงของแมลงกลางคืน
สำนักงานใหญ่ที่ไปทำงานหมุดหมายอยู่พิษณุโลกจังหวัดที่เจริญที่สุดในแถบนั้นหน้าที่หลักคือต้องไปตรวจงานที่สาขาต่างๆจังหวัดใกล้หน่อยก็ขับรถไปเช้าเย็นกลับไกลหน่อยก็ต้องไปนอนค้างอ้างแรมอย่างจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ไปทีก็ต้องข้ามเขาหลายลูก
ครั้งแรกที่ไปเมืองมะขามหวานนี้..มีนายไปด้วยกันและเป็นครั้งแรกของนายเช่นกัน”สุฤทธิ์ เก่งกาจ”คือชื่อของนายในวันนั้นเราไปกันสองคนพักที่โรงแรมแห่งเดียวของทั้งจังหวัดเป็นอาคารค่อนข้างเก่าแต่ดูใหญ่โตสูง 6 ชั้นมีลิฟท์ซะดวยซึ่งนับว่าทันสมัยเมื่อเทียบกับตัวจังหวัดที่มีแต่ห้องแถวไม้
ตัวโรงแรมตั้งอยู่บนถนนสามแพร่งอยู่ก่อนตัวเมืองไม่ไกลนักถนนหน้าโรงแรมแสนเงียบเหงานานๆ จะมีรถวิ่งผ่านมาสักคันโดยเฉพาะเวลาตอนกลางคืนโรงแรมนี้นอกจากเป็นที่พักแล้วยังมีสถานบันเทิงบาร์อาบอบนวดเสมือนหนึ่งว่าแหล่งกลางคืนของทั้งจังหว้ดอยู่ที่นี่
ระหว่างโดยสารลิฟท์ขึ้นไปห้องพักชั้น 5ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นายผมที่กำลังยิ้มเห็นฟันขาวเหมือนกับตื่นเต้นที่มาครั้งแรกถามเด็กยกกระเป๋าว่า”โรงแรมนีมีผีหรือเปล่า?”คงเห็นว่าเป็นโรงแรมเก่าๆและต้องการทำลายความเงียบด้วยยิงคำถามเหมือนเย้าเล่น
“มีครับ”คำตอบง่ายๆ และหน้านิ่งๆทำให้เจ้านายผมหยุดยิ้มทันทีไม่ถามอะไรอีกเลยและดูเหมือนเงียบลงกว่าเดิม.เสียงเลื่อนตัวของลิฟท์ยังดังเอี๊ยดอ๊าดจนต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องพักตัวเอง
ห้องสุดทางเดินด้านขวาเป็นของนายและห้องผมอยู่ติดกับห้องนายถึงก่อนประตูห้องเป็นไม้สีน้ำตาลบานใหญ่มีตาแมวหรือช่องมองอยู่กลางบานไว้ดูหน้าตาคนที่มาหาที่ห้องพัก…เหมือนโรงแรมทั่วๆไป
ภายในห้องมีเตียงนอนตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำจากไม้หนาๆสีน้ำมันสีน้ำตาลเข้มมีรอยขูดขีดไปทั่วโดยเฉพาะตู้เสื้อผ้าความสว่างของห้องมาจากหลอดไฟสีเหลืองๆประมาณ 5 แรงเทียนกระจายแสงอ่อนๆรอบๆ 2 หลอดตัวหลอดห้อยอยู่ปลายสายไฟฟ้ากลางห้องนอนและห้องน้ำแสงไฟมัวๆอึมครึมจนน่ากลัวกลิ่นอับจางๆยังติดจมูกจนแจ่มชัดในความทรงจำ…เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ก่อนเข้าห้องพักคืนนั้นก็ได้เรื่องยังไม่หลับตาก็ทำเอาสะดุ้งจนตกใจแต่จะเจออย่างไรรอฟังตอนต่อไปนะครับรอให้ขนที่ลุกตั้งชัน..เอนกายลงก่อนเล่าตอนต่อไปหลังจากเก็บของในห้องพักแล้วก็ขับรถเข้าตัวเมืองไปหาข้าวหาปลาทานกันขับรถไม่กี่อึดใจก็วนรอบตัวเมืองแล้ว..ตัวเมืองไม่ใหญ่โตเหมือนสมัยนี้

เวลาหกโมงกว่าหนุ่มแปลกหน้าของเมืองนี้กลับจากตัวเมืองมาถึงโรงแรมจะเข้าห้องนอนเลยก็ดูจะไม่ใช่วัยรุ่นอย่างพวกเรากะว่าเข้าห้องพักอาบน้ำแล้วจะแต่งตัวเล็กๆเพื่อลงไปละเลียดสุราเย็นๆที่บาร์ของโรงแรมที่หมายตาไว้ตั้งแต่มาถึงโรงแรมมี 6 ชั้นเราขอพักชั้นสูงสุดเพราะอยากเห็นวิวรอบๆโรงแรมแต่ได้ที่พักชั้น 5 เพราะชั้น 6”ปิดตาย”พนักงานฟร้อนท์บอกแบบนั้นพยักหน้ารับทราบอย่างงงๆแต่ก็ปากหนักไม่ได้ถามว่า”ทำไมหล่ะ?”


ปุ่มไฟบอกชั้นเบอร์ 5 สว่างโร่ลิฟท์เคลื่อนตัวอย่างช้าๆเหมือนจะขาดใจเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเดิมจนลิฟท์หยุดลงและบานประตูลิฟท์สีแดงจัดที่มีรอยขูดขีดแบบตู้เสื้อผ้าในห้องพักของเราเปิดออกอยางอ้อยอิ่งเราตะลึงอยู่พักใหญ่ตกใจกับภาพที่ปรากฎตรงหน้าเพราะว่ามันไม่ใช่ทางเข้าไปยังทางเดินห้องพักของเราแต่เป็นประตูปิดตายมีไม้แผ่นตอกปิดอีกชั้นแน่นหนามีรอยเขียนอักขระโบราณตัวโตเขียนเต็มไปหมดที่สำมะคัญมียันต์สีเหลืองสดกว้างหนึ่งฝ่ามือและยาวเมตรกว่าเล็กน้อยเขียนด้วยอักษรจีนปิดแบบกากบาทและรับรู้ได้ทันทีว่าที่เห็นตรงหน้าคือชั้น 6 ที่ปิดตาย

เราทั้งสองแย่งกันกดปิดประตูพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายไม่รู้ว่าเลือดที่หน้าหายไปไหนหมดจนลิฟท์กลับมาหยุดที่ชั้น 5ชั้นที่ห้องพักของเราตั้งอยู่ต่างคนต่างกลับเข้าห้องพักไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่รู้เพราะอะไรจึงไม่คุยกันคงเพราะตกใจมั๊ง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ลิฟท์พาไปชั้น 6 แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหลังจากนั้นอีกสองสามครั้งที่ไปขึ้นลิฟท์ตัวนี้ก็เป็นแบบนี้อีกทุกครั้งดังนั้นการขึ้นลิฟท์ทุกครั้งต้องลุ้นว่าประตูลิฟท์จะไปเปิดชั้นนี้อีกหรือไม่ทำได้เพียงเอาปลายนิ้วไปแตะค้างไว้ที่ปุ่มปิดประตูพร้อมที่จะกดปิดเมื่อหยุดที่ชั้นนี้ทั้งๆที่มั่นใจว่ากดไปชั้นอื่นเป็นลิฟท์สยองที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเป็นหนุ่มหน้าตาดีที่ตอนนี้ซีดเชียว
ต่างคนต่างเดินก้าวยาวๆจนสุดทางเดินห้องใครห้องมันรีบเดินเข้าประตูและปิดลงอย่างรวดเร็วห้องพักที่นี่แปลกๆคือเข้ามาแล้วขนแขนมักแสตนด์อัพอาจเป็นเพราะตัวห้องที่ดูเก่าๆเฟอร์นิเจอร์แบบโบราณตัวใหญ่และอาบด้วยแสงไฟหลอดกลมสีเหลืองอ่อนแรง…ช่างให้อารมรณ์ร่วมยิ่งนัก
ก่อนนอนก็ต้องอาบน้ำห้องน้ำปูกระเบื้องเก่าๆ สีขาวคร่ำคร่าร่องระหว่างกระเบื้องมีรอยยาแนวที่เคยสีขาวแต่ยามนี้เป็นสีเทาและออกจะดำเป็นคราบตลอดผนังจะมากบ้างน้อยบ้างคละกันไปยังดีที่น้ำจากฝักบัวขึ้นสนิมยังทำหน้าที่ไม่บกพร่องเย็นยะเยือกดีนัก
ใช้เวลาไม่นานนักก็ออกมาเพื่อเตรียมตัวเข้านอนทีวีไม่ต้องพูดถึงไม่มีสิ่งบันเทิงก่อนนอนมีอย่างเดียวคือหนังสือจะเป็นหนังสืออ่านเล่นอย่าง”ขายหัวเราะ”หรือหนังสืออีโรติกอย่าง”หนุ่มสาว”ต้องมีเพื่อแก้เหงายามเมื่อมาค้างต่างเมือง
ยังไม่ทันที่ล้มตัวลงนอนก็ได้เรื่องเสียงเคาะประตูรัวๆดังมาจากประตูบานใหญ่เสียงเคาะร้อนรนและดังกังวานไม่ต้องกลัวว่าข้างๆห้องจะได้ยินเพราะทั้งชั้นมีเราเพียงสองคนที่เข้าพักยังดีที่เปิดไฟทางเดินกลางตลอดทางให้ความน่ากลัวลดลงเท่านั้น
ว่าแต่ว่าใครเคาะประตูเคาะทำไมและเคาะเพื่ออะไรจะได้รู้กันในตอนต่อไปรอแป๊บหรือจะไปดื่มน้ำปัสสาวะแล้วมานั่งอ่านต่อ..ก็ได้ครับเสียงเคาะประตูรัวตลอดจนผมเดินไปหยุดที่ประตูแนบสายตาผ่านตาแมวอ้าวนายผมเอง!จริงๆไม่ต้องดูก็ต้องรู้ว่าเป็นนายของผม…เพราะอย่างที่บอกทั้งชั้นมีเราเข้าพักเพียงสองคน
“คุณมาเคาะห้องผมรึเปล่า!”นายหล่นคำถามจากปากที่กำลังสั่นคิ้วผมขมวดอย่างสงสัยว่านายจะมาล้อเล่นอะไรอีกแต่ต้องเปลี่ยนความคิดเพราะหน้าแกดูซีดกว่าตอนอยู่ในลิฟท์ซะอีก”เปล่าพี่ผมจะแกล้งพี่ทำไม”นายจ้องมองหน้าผมซักพักเหมือนจับโกหก

เมื่อแน่ใจแล้วว่าผมไม่ได้เป็นผู้เคาะห้องของนายนายก็เล่าให้ฟังอย่างตื่นๆว่ามีคนมาเคาะห้องของแกสองสามครั้งสองครั้งแรกเปิดออกดูไม่เจอใคร.ครั้งที่สามเลยยืนแอบอยู่หลังประตูกะว่าใครมาเคาะคงได้รู้กันและก็เป็นไปตามคาดคือซักพักเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกตรงหน้าเปิดประตูอย่างรวดเร็วเปิดออกแล้วความตกใจก็มาเยือนไม่ใช่ว่าเจอใครแต่เพราะไม่เจอใครก็เลยมาเคาะห้องถามผมเพื่อความแน่ใจ
ดูเหมือนนายไม่อยากกลับไปนอนที่ห้องแต่ผมก็ไม่อยากให้แกมานอนด้วยเพราะผมไม่รู้ว่าเรื่องที่นายเล่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกที่จะมานอนกับผมเพราะกลัวผีมิอาจจะรู้ได้จะให้ไปนอนห้องนายผมก็ไม่เอาเพราะห้องนายมีความน่ากลัวรออยู่จะไปหาเรื่อเจอทำไรหล่ะ
นายกลับไปที่ห้องซักพักแล้วเงียบไปเลยส่วนผมเปิดไฟนอนตลอดทั้งคืนไม่เจออะไรเหมือนที่นายเจอหรือว่านายแกล้งล้อเราเล่นนะดูหน้าตาสูงอายุกว่าวัยไม่น่าเป็นคนขี้เล่นนี่นา
เรากลับพิษณุโลกในวันรุ่งขึ้นและไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้อีกเลยจนผมเปลี่ยนนายใหม่ในสองสามปีต่อมา

วันดีคืนร้ายระหว่างที่นายคนเดิมยังทำงานด้วยกันเมื่อต้องไปตรวจงานที่เพชรบูรณ์ในครั้งถัดมานายให้ผมไปคนเดียวโดยบอกว่าติดภาระกิจส่วนกลางที่ต้องส่งรายงานด่วนเหตุผลของนายไม่น่าจะใช่จะมาด่วนอะไรวันนี้แต่ไม่เป็นไรไปก็ไปเพราะผมยังไม่เคยเจอคิดว่าช่องสัญญาณผมกับวิญญาณไม่ต้องกันไปก็ไป(ว่ะ)
ครั้งนี้ไปคนเดียวนอนคนเดียวและเสียวคนเดียว
อยากรู้ว่าเสียวแค่ไหนรอแป๊บครับเหมือนเดิมไปดื่มน้ำปัสสาวะอีกทีครับจำได้ว่าผมไปจังหวัดเพชรบูรณ์แต่เช้ามากกะว่ารีบทำงานให้เสร็จและขับรถกลับพิษณุโลกเลยเอาเสื้อผ้าติดตัวไปเผื่ดพลาดเพราะกลับไม่ทันหากดึกเกินไปการใช้เส้นทางระหว่างพิษณุโลกกับเพชรบูรณ์นั้นแสนอันตรายนัก
แล้วก็ไม่เป็นไปตามความตั้งใจงานเสร็จเกือน 2 ทุ่มนั่นหมายความว่าคืนนี้ต้องกลับไปพิจารณายันต์ที่ปิดตายชั้น 6 ของโรงแรมแน่นอนเสียแล้ว…ทั้งจังหวัดมีโรงแรมเพียงแห่งเดียว…คือโรงแรม 6 ชั้นบนทางสามแพร่งที่เคยพักเท่านั้น
ครั้งนี้ต่างกับครั้งก่อนที่ผมมาคนเดียวเลือกนอนชั้น 3 ไม่ใช่ชั้น 5 เหมือนเคยแต่ก็แปลกลิฟท์เจ้ากรรมก็ยังชอบพาไปทัศนาชั้น 6 อยากบอกเจ้าของลิฟท์ว่า”อ่านยันต์ไม่ออก.และไม่สนใจไม่ต้องพาไปดู”หาเจ้าของลิฟท์ไม่เจอไม่เห็นได้แต่ลำพึงลำพันกับตัวเอง
ทำงานมาทั้งวันแสนเหนื่อยอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนและเหมือนเดิมคือนอนไม่ปิดไฟถึงเปิดไฟก็ไม่แยงตาเพราะแสงไฟอ่อนแรงเต็มทีด้วยเวลาไม่นานนักความเคลิ้มมาเยือน
แม้ดวงตาปิดสนิทแต่ทุกอย่างยังรู้สึกตัว”พี่โอ พี่โอขาาาา”เสียงผู้หญิงเรียกชื่อมากจากปลายเตียงท่ามกลางความกลัว ในสมองกลับมีคำถาม ”เค้ารู้จักชื่อเราได้งัย!!!”เมืองนี้ไม่มีใครรู้จักเรานี่นาแล้วเราจะทำอย่างไงดีดูซิยังไม่หยุดเรียก”พี่โอออออออ”เรียกทำไมว่ะ
คิดอยู่สักพักตั้งสติต้องลืมตาดูให้เห็นว่าเค้าเป็นใครหน้าตาเป็นงัยทำไมรู้จักเราปัญหาคือถ้าลืมตาขึ้นแล้วพบว่าหน้าของเค้าอยู่ประจันหน้าเราเหมือนหนังผีที่เคยดูเราจะทำอย่างไรทำงัยดีชั่วขณะที่คิดนั้นอาจไม่นานแต่ความรู้สึกเหมือนจะนานแทบขาดใจแต่สุดท้ายแล้ว
เอางัยก็เอาว่ะผมลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่งและเตรียมวิ่งหนี
ว่างเปล่า!!!ไม่มีใครเห็นแต่หน้าตัวเองผ่านโต๊ะเครื่องแป้ง
ไม่รู้ว่าจะตกใจดีหรือกลัวดีรีบๆแต่งตัวลงไป lobby
ทำไงดีหล่ะที่นี้จะอยู่อย่างไงจะนอนอย่างไรทำไงดีไม่ได้กลัวแต่ไม่กล้า
เอางัยดีเอางัยดีความคิดวนเวียนแค่นั้นเอางัยดีล่ะ
เดินวนไปวนมาเหมือนความคิดที่วกวนว่า”เอางัยดี”
ต้องหาที่นอนใหม่ปัญหาคือดึกป่านนี้จะไปนอนที่ไหน lobby ก็ไม่มีที่ให้นอนงั้นก็ต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนซิแต่จะไปหาใครหล่ะโทรศัพท์ก็ไม่มีเมืองนี้ก็ไม่รู้จักใคร
ไม่ต้องเอานิ้วจุ้มน้ำลายหมุนขมับเหมือนอิคิวซังนึกได้ว่าโรงแรมนี้มี ”อาบอบนวด” นี่นามาหลายครั้งแต่ไม่เคยไปไม่รู้ว่ามีคุณหมอเยอะแค่ไหนคอยให้บริการราคาค่าบริการเป็นอย่างไรแต่ตอนนี้เท่าไหร่ก็จ่ายเพราะพี่ต้องการเพื่อน
ที่ตั้งของศูนย์โลกียกิจเป็นอาคารชั้นเดียวขนาดใหญ่พอควรตั้งอยู่หลังโรงแรมยังเปิดทำการสว่างไสวด้วยหลอดนีออนสีชมพูเพราะยังไม่ถึงเวลาเที่ยงคืนเดินจ้ำไปหาเหมือนคนกระหายเพื่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คุณหมอนั่งโหรงเหรงอยู่ประมาณ 10 ท่านบนพรหมสีแดงปูตามขั้นบันไดลดหลั่นกันไปจำได้ว่ายืนดูไม่ถึงนาทีหันหลังกลับไปโรงแรม
ความตั้งใจที่จะเอาคุณหมอไปเป็นเพื่อนนอนคืนนี้มลายหายไปจนสิ้นจำได้ว่าหลังจากนั้นมาอีกหลายครั้ง ก็ไม่เคยแวะมาอีกเลย
คงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่อันเชิญคุณหมอไปที่ห้องเพื่อเป็นเพื่อนอย่างที่หมายมั่นมันเกิดอะไรขึ้น

>>> เรื่องผี ได้ยินแปลกๆเรียกชื่อ อย่าขานรับ


จะพาไปได้อย่างไรคุณหมอแต่ละนางอายุเยอะมากกกกกไม่น่าเชื่อว่าคุณเธอยังมีประสิทธิภาพทำหน้าที่นี้ได้ข้อสำคัญ คุณหมอทั้งหมดทุกนางมีหน้าตาและร่างกาย น่ากลัวกว่าคุณวิญญาณที่รออยู่บนห้องซะอีกถ้าหล่อนไปอยู่บนห้องเป็นเพื่อนแล้วผมดันตึ่นขึ้นมาตอนดีกเจอหน้าบรรดาคุณยายเหล่านี้ผมคงตกใจตายก่อน
อยากได้คนมานอนเป็นเพื่อน ไม่ใช่แม่ย่านางประจำห้องครับ
เดินผ่านบาร์เหล้าที่กำลังจะปิด ตัดสินใจจ่ายเงินซื้อแม่โขงมาหนึ่งกั๊ก เปิดฝาเกลียวดื่มทีเดียวหมดขวดไม่ผสม ไม่ได้กินเพื่อความอร่อย ”กูอยากเมา” ไม่เคยจะรู้สึกอยากเมาอย่างนี้มาก่อนเลย
แป๊บเดียวหน้าตึงโดยไม่ต้องใช้ครีม Magic skin ความกลัวเจือจางเล็กน้อยละลายไปกับเหล้าขมๆเดินกลับขึ้นห้องจำไม่ได้ว่าเสียงลิฟท์ยังดังเอี๊ยดอ๊าดรึเปล่าไม่สน!!! ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างกายเพราะจำคลับคล้ายคลับคราว่าผีสาวกลัวผู้ชายนอนแก้ผ้า..คงเพราะอายมั๊งผ้าห่มไม่ต้องใช้นอนแผ่หลาบนเตียงและจำอะไรไม่ได้อีกเลยถึงเช้า
ผมผ่านคืนนั้นไปได้อย่างสะโหลสะเหลเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอกั๊กนั้นไม่รู้ว่าสาวที่มาเรียกชื่อผมทำไมไม่มากวนเหมือนตอนหัวค่ำอาจเป็นเพราะผมเมาจนสิ้นสติเธอเรียกยังงัยก็ไม่ได้ยินหรือเพราะว่ากลัวหนอนน้อยที่ผงาดบนเตียงก็มิอาจรู้ได้เพราะเธอไม่ได้ทิ้งข้อความใดๆบอกไว้ให้หายกังขา

>>>> เรื่องผีหอพักชั้น 4

ผมขับรถกลับพิษณุโลกแวะทางกาแฟที่มีอยู่สองข้างทางหลายร้าน ขับไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนเพราะมึนๆกลับถึง office ก็ตอนสาย
“เป็นงัยเรียบร้อยมั๊ย”นายถามเมื่อเจอหน้าแต่จริงๆคงอยากรู้ว่าผมโดนผีหลอกหรือเปล่า
“เรียบร้อยดีครับพี่ทุกอย่างเรียบร้อย” บอกไปเพราะไม่อยากตอบอะไร
”เสียงขึ้นจมูกเหมือนไม่สบาย”นายพยายามถามเหมือนห่วงใย
“อากาศหนาวมากเลยเป็นหวัดครับพี่”
ผมลากลับบ้านไปนอนด้วยเหตุผลของอาการไข้หวัด ไม่เคยเล่าให้นายฟังเลยว่าคืนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นและผมทำอะไรมา เพราะครั้งหน้าต้องให้นายไปด้วยให้ได้นายจะได้รู้ว่าประสบการณ์”โรงแรมผีสิง”ได้อารมณ์แค่ไหน
ทุกวันนี้คิดถึงทีไรยังแปลกใจที่คืนสำคัญวันนั้นผมหลับถึงเช้าและเธอคนนั้นไม่มาเรียกชื่อผมอีกใครรู้ช่วยบอกทีเพราะอะไรผมไม่รู้จริงๆครับแต่ที่สำคัญผมยังไม่รู้ว่าหญิงสาวที่มาเรียกผมเป็นใครท่านใดไปพักที่โรงแรมนี้ฝากถามด้วยแล้วมาบอกกัน ก็จะเป็นพระคุณยิ่งเชียว
#ความเชื่อส่วนบุคคล และ ประสบการณ์ส่วนตัวที่น่ากลัวเป็นที่สุด
อย่าลืมหาปุ่มเพื่อกด loveถ้าไม่เจอ ก็กดปุ่ม Like แทนแล้วกันครับ
เพราะยังไม่อีกโรงแรมที่จะนำมาเล่า”เกียวอัน”คือชื่อโรงแรมที่จะเป็ฯเหยื่อรายต่อไปครับ

ขอขอบคุณ : BradpittBigsize

admin