เรื่องผี รถเมล์เที่ยวสุดท้าย

เรื่องผี รถเมล์เที่ยวสุดท้าย

เรื่องผี รถเมล์เที่ยวสุดท้าย

เรื่องผี รถเมล์เที่ยวสุดท้าย ย้อนไปสมัยเด็กผมมีความทรงจำหนึ่งที่ผมอยากจะลืมมาก แต่พอมาเจอไอ้เอกซึ่งเป็นเพื่อนสมัยมัธยมทีไรก็ต้องทำให้หวนไปคิดถึงเรื่องนั้นอยู่เสมอ

ผมกับเอกบ้านเราอยู่ซอยเดียวกัน วิ่งเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเล็กๆ มาแยกย้ายไปอยู่คนละที่ก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัย สมัยนั้นเราไปโรงเรียนด้วยกันและกลับด้วยกันทุกวัน มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นผมกำลังง่วนกับการเตะฟุตบอลเดิมพันที่โรงเรียนหลังเลิกเรียน โดยปกติแล้วผมจะเป็นคนลงไปเตะ ส่วนเอกจะเป็นคนลงเงินเดิมพันและนั่งเชียร์อยู่ข้างสนาม ถ้าชนะเราก็จะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันซึ่งเอกจะเป็นคนเลี้ยง

วันนั้นเราอยู่กันที่โรงเรียนจนเวลาล่วงเลยมาถึง 4 ทุ่ม เราสองคนจึงรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ข้างโรงเรียน ซึ่งเราสองคนมารอรถเมล์เพื่อกลับบ้านทุกวัน แต่วันนั้นเป็นวันที่เรามาช้ากว่าปกติ เราสองคนยืนรออยู่นานมากแต่ก็ไม่มีรถเมล์สายที่ผ่านซอยบ้านเรามาสักคัน

เราสองคนรอจนถึงประมาณ 5 ทุ่ม เงินติดตัวก็เหลือแค่พอจ่ายค่ารถเมล์เพราะเสียไปกับการเดิมพันที่เราเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เราสองคนเริ่มลนลานเพราะในหัวคิดว่าแม่คงยืนถือไม้รออยู่หน้าบ้านแล้วเป็นแน่ คนที่ยืนรอรถอยู่ป้ายรถเมล์เดียวกันกับเราก็ทยอยขึ้นรถไปจนหมดเหลือเพียงแค่ผมกับเอก

เอกบอกกับผมว่า “เดินกลับกันไหม” ผมมองหน้าเอกและก็ตอบแบบคนไม่มีอะไรจะเสียว่า “ไปก็ไปวะ ไม่งั้นได้นอนนี่แน่” แต่ทันใดนั้นก็มีรถเมล์คันหนึ่งค่อยๆ วิ่งเข้ามา “ลองลุ้นอีกซักรอบแล้วกันเผื่อว่าจะใช่สายที่ผ่านบ้านเรา” ผมบอกเอกที่กำลังหันหลังออกเดินออกจากป้ายรถให้รอดูก่อน รถเมล์ค่อยๆ เคลื่อนเข้าป้ายอย่างช้าๆ

“มันยังวิ่งได้อยู่เหรอวะ ฮ่าๆๆ สภาพแม่งแบบว่ายังกับผ่านสงครามโลกมา ไฟหน้าแม่งก็เหลือแค่ดวงเดียว” เอกพูดติดตลกขึ้นมา

“แค่มันผ่านบ้านเราก็สวรรค์ทรงโปรดแล้วจะเอาไรมากวะ” ผมตอบเอกพลางชะเง้อดูสายรถที่กำลังวิ่งมา

“เฮ้ยๆ สายนี้ผ่านกูจำได้แต่มันอ้อมหน่อย อู่มันอยู่เลยบ้านเราไปนิดเดียว รอดตายแล้วเราสองคน” ผมรีบตะโกนบอกเอกด้วยความดีใจ พอรถเมล์จอดเราสองคนก็รีบขึ้นไปมองหาที่นั่งด้านหลังตามความเคยชินของเราสองคน เราสองคนชอบนั่งริมหน้าต่างทั้งคู่เพื่อมองข้างทางเวลารถวิ่ง

เอกเลือกที่นั่งด้านหน้าผมเพื่อเราสองคนจะได้นั่งริมหน้าต่าง และรถก็เริ่มแล่นออกจากป้ายช้าๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศในรถแปลกๆ กระเป๋ารถเมล์ลุกออกจากที่นั่งข้างคนขับ เดินมาเก็บเงินค่าโดยสารด้วยใบหน้าเฉยชามากและไม่พูดไม่จาซักคำ เพียงแต่ยื่นมือขาวซีดออกมา เอกทำหน้าที่จ่ายค่าโดยสารโดยรวมถึงในส่วนของผมด้วย และพนักงานก็ส่งตั๋วโดยสารให้แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม

ผ่านมาซักพักผมเริ่มสังเกตคนที่ยืนรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ข้างทาง ทุกคนไม่มีใครมองมาที่ผมเลยแต่ละคนชะเง้อรอรถสายที่ตัวเองคอยอยู่ แม้รถเมล์ที่ผมนั่งมาจะจอดที่ป้ายก็ยังไม่มีใครมองราวกับว่าไม่มีใครเห็นรถคันนี้วิ่งอยู่ ผ่านไปสามป้ายผมเริ่มสะกิดเอกที่นั่งอยู่ข้างหน้าเพื่อบอกให้เอกลองสังเกตความผิดปรกติที่เกิดขึ้นดู

“เอกๆ ลองสังเกตคนที่อยู่ข้างทางดูดิ รู้สึกแปลกไหมวะ เหมือนพวกเค้าไม่เห็นรถเราเลย” ผมยื่นหน้าไปที่ช่องว่างระหว่างหน้าต่างและเบาะที่นั่งที่เอกนั่งอยู่

“กูดูมาซักพักแล้วเหมือนกัน กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ” เอกตอบด้วยเสียงแผ่วๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ “แล้วอีกอย่าง ลองดูคนที่อยู่บนรถสิ ทุกคนเหมือนโดนฝนมาตัวเปียกกันหมดเลยฝนก็ไม่ได้ตกซักหน่อย ไอ้คนที่นั่งติดกันกูสังเกตมาซักพักแล้ว มันไม่คุยกันซักคำ มึงว่ามันแปลกไหมวะ”

หลังจากที่เอกพูดจบ ผมก็ลุกจากที่นั่งตัวเก่าย้ายไปนั่งข้างๆ เอก ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกเหมือนตอนไปเข้าค่ายลูกเสือแล้วต้องนอนในเชลเตอร์ไม้เก่าๆ กลางป่า ผมกับเอกก็เริ่มมองไปรอบๆ รถเพื่อหาความผิดปรกติเพิ่มเติม ผมจำได้ว่านอกจากผมกับเอกแล้ว มีคนอื่นอยู่บนรถอีกทั้งหมด 7 คน เป็นผู้โดยสาร 5 คน ที่เหลือคือคนขับกับประเป๋ารถ

“อีกนานไหมวะ กว่าจะถึง” เอกถามผมด้วยนำเสียงกระวนกระวาย

“ใกล้แล้ว เลี้ยวขวาหน้าแล้วตรงไปอีก 2 ป้ายก็ถึงซอยบ้านเราแล้ว” เราทั้งสองคนเป็นอันรู้กันว่า ถ้ารถจอดแล้วเราจะต้องลงจากรถคันนี้ให้เร็วที่สุด เมื่อใกล้ถึงป้ายรถเมล์หน้าปากซอยทางเข้าบ้าน ผมก็กดกริ่งเพื่อที่จะให้รถจอด แต่ปรากฏว่ากริ่งเสีย ผมจึงตะโกนบอกคนขับแทน

“จอดป้ายหน้าด้วยครับพี่”

ทุกอย่างยังคงเงียบ ไม่มีแม้แต่คนที่จะหันมามองว่าใครที่กำลังจะลงจากรถ แต่ในที่สุดรถก็จอดที่ป้าย เราสองคนรีบวิ่งลงจากรถอย่างรวดเร็ว พอเท้าแตะพื้นฟุตบาทได้เราสองคนก็ถอนหายใจกันเฮือกใหญ่

“เชี่ย! แม่งน่ากลัวสัตว์ๆ แม่งยังกะรถผีสิง” เอกสถบออกมาราวกับจะปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บไว้ตลอดการเดินทาง

“เออกูกลัวจนลืมเรื่องแม่ยืนรอด่ากูอยู่หน้าบ้านไปเลย” ผมพูดเสริม เราสองคนรีบเดินกลับไปที่บ้านท้ายซอย

“ตายห่าละ! แฟ้มรายงานกูต้องส่งวันจันทร์ กูลืมไว้บนรถเมล์ ฉิบหายแล้ว” เอกตะโกนออกมาระหว่างทางที่เราเดินกลับ “ส่งวันจันทร์ใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ลองไปถามหาที่อู่รถดู กูรู้จักไม่ไกลเท่าไหร่ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปเป็นเพื่อน” ผมตอบด้วยความมั่นใจ ว่าต้องหารายงานเอกให้เจอจนได้ และเมื่อกลับถึงบ้านเราสองคนก็โดนแม่ด่าตามระเบียบ

เช้าวันรุ่งขึ้น เราสองคนก็เดินทางไปที่อู่รถเมล์คันที่เรานั่งมา เมื่อไปถึงก็ไปถามนายอู่บอกว่าเราลืมกระเป๋าที่ใส่รายงานไว้บนรถ

“น้องนั่งรถเที่ยวไหนมาล่ะ” นายอู่ถาม

“ผมจำไม่ได้เหมือนกันครับ ผมนั่งมาตอนประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ” ผมให้ข้อมูลกับนายอู่รถไป

“เฮ้ย! มั่วแล้วไอ้น้อง รถสายนี้มันหมดตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว จำผิดสายหรือเปล่า” นายอู่ถามปนหัวเราะ

“ไม่ผิดแน่ๆ พี่ เพราะผมจำสายรถได้ ผมว่าผมจำรถได้ด้วยนะเพราะสภาพมันแบบว่าเก่ามากไม่น่าวิ่งได้ด้วยซ้ำ” ผมตอบกลับนายอู่ไปแบบกวนๆ

“ถ้าน้องจำรถได้ก็ลองเดินดูเอาแล้วกัน เพราะตอนนี้รถที่ออกไปวิ่งแล้วก็เป็นรถรอบเช้า มีไม่กี่คัน แล้วเป็นคันใหม่ทั้งนั้น คงไม่ใช่รถคันที่พวกน้องหาอยู่หรอก” นายอู่ตอบด้วยน้ำเสียงใจดี

เราสองคนเดินหาอยู่เป็นชั่วโมง ดูแทบทุกคันแต่ไม่เจอรถคันที่เรานั่งมาเลย ผมเลยถามเอกว่า “เฮ้ย! มึงได้เก็บตั๋วรถไว้ป่าววะ” เอกล้วงไปที่ช่องซิบหน้าของกระเป๋าย่ามสีกากีที่สะพายมาด้วย

“เจอละ ดีนะยังไม่ได้ทิ้ง” เอกตอบอย่างโล่งใจ เราสองคนจึงเดินกลับไปที่ห้องนายอู่และยื่นตั๋วให้พี่เขาดู

“พี่ครับ ช่วยดูตั๋วนี้ให้หน่อยครับ เป็นตั๋วรถที่เรานั่งมาเมื่อวาน”

“อ้าวแล้วก็ไม่เอามาให้ดูแต่แรก ไม่งั้นป่านนี้ก็เจอไปแล้ว” นายอู่ตอบ พลางยื่นมือขอดูตั๋วที่ว่านั่น

พี่เค้าใช้เวลาหาอยู่พักใหญ่ เราเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของพี่เขา เขาเดินถือตั๋วเราไปคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องอีกสองสามคน ราวกับว่าจะยืนยันข้อมูลอะไรบางอย่าง และในที่สุดพี่เค้าก็เดินกลับมาหาเรา

“น้องแน่ใจนะว่านี่คือตั๋วรถที่น้องนั่งมาเมื่อวาน” นายอู่ถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“ใช่ครับ” เอกตอบ

“น้องบอกว่ารถสภาพเก่ามากเหมือนมันจะวิ่งไม่ได้เลยใช่ไหม” นายอู่ถามต่อ

“ใช่ครับ” ผมกับเอกตอบพร้อมกัน

“งั้นมากับพี่ พี่จะพาไปหารถคันที่น้องนั่งมา”

นายอู่ชวนผมกับเอกขึ้นรถยนต์ของเขาและขับออกไป ผมกับเอกก็ไปด้วยแบบงงๆ

ไม่นานเราสองคนก็ถึงสถานีตำรวจ เราทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่

“ถึงแล้ว ตามพี่มา” นายอู่ลงจากรถและเดินนำไปที่ด้านหลังของสถานีตำรวจ

“คันนี้ใช่ไหม” นายอู่ชี้ไปที่รถเมล์ที่จอดไว้ในลานรถที่เกิดอุบัติเหตุ “รถคันนี้เพิ่งประสบอุบัติเหตุ จมลงไปในคลอง ตำรวจเพิ่งกู้ซากและลากมาที่นี่เมื่อวานตอนประมาณ 5 ทุ่ม พวกน้องรู้ไหมว่าเลขตั๋วรถของพวกน้องมันเป็นเลขที่อยู่ในช่วงเวลาที่รถเกิดอุบัติเหตุพอดี” นายอู่บอกข้อมูลกับพวกเราด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเราทั้งสองถึงกับหน้าเสีย แต่ก็พยายามใจดีสู้เสือ และพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เรากลับออกไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด

“เอกขึ้นไปบนรถกัน” ผมพูดโดยรับรู้ได้ว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงจนรู้สึกได้

เราสองคนขึ้นไปบนรถ สภาพบนรถแย่มาก กลิ่นโคลนยังคลุ้งตลบอบอวลไปหมด เราสองคนเดินไปด้านหลังรถ ที่ที่คิดว่าเรานั่งกันมาเมื่อวาน

“เชี่ยแล้ว!”

เอกอุทานออกมา ผมไม่ต้องถามว่าทำไมเอกถึงอุทาน เพราะผมเห็นกระเป๋ารายงานของเอกเสียบไว้อยู่ข้างเบาะตำแหน่งที่เอกนั่งมา เราสองคนทำอะไรไม่ถูก ขาผมแทบจะไม่มีแรงเดิน รู้สึกขนลุกไปตั้งแต่หลังต้นคอจนถึงข้างใบหู เอกรีบหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งลงจากรถทันที ด้านล่างเห็นนายอู่ยืนคุยอยู่กับตำรวจ ผมกับเอกจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

“สรุปรายชื่อผู้เสียชีวิตบนรถคันนี้มีทั้งหมด 7 คน พนักงานรถ 2 คน ผู้โดยสาร 5 คน เดี๋ยวคดีคืบหน้ายังไงผมจะโทรแจ้งครับ” ตำรวจเจ้าของคดีรายงานข้อมูลจากสถานที่เกิดเหตุให้นายอู่ฟัง

ผมกับเอกมองหน้ากันโดยรู้ว่าต่างคนต่างอยากพูดว่าอะไร แต่พูดไม่ออก มือสั่น ขาแทบจะไม่มีแรงยืน จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราสองคนกลับถึงบ้านก่อนหกโมงเย็นทุกวัน และไม่กล้าเถลไถลหลังเลิกเรียนอีกเลย และทุกครั้งที่เรามีโอกาสกลับมาเจอกัน เราก็ไม่เคยจะพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่ผมรู้ว่าเอกก็คงจำมันได้ไม่เคยลืมเหมือนกับผม ว่าเราทั้งสองคนนั้น เคยนั่งรถเมล์ผี!

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

admin