เรื่องผี บ้านหลังนี้เคยมีคนตาย

เรื่องผี บ้านหลังนี้เคยมีคนตาย

เรื่องผี บ้านหลังนี้เคยมีคนตาย

เรื่องผี บ้านหลังนี้เคยมีคนตาย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานสักระยะหนึ่งครับ ประมาณ 12 ปีที่แล้วครับ ตอนนั้นผมยังพึ่งทำงานบริษัทใหม่ๆ ก่อนหน้านี้อาศัยอยู่กับพี่สาว แต่อยู่ไปอยู่มา พี่สาวก็แนะนำว่ามีบ้านในซอยถูกบังคับขายอยู่ทางสำนักงานบังคับคดี ตอนนั้นก็เลยวิ่งไปดูบ้านก็เป็นลักษณะทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ สองชั้น อยู่ตรงกลางซอย พื้นที่ประมาณ 20 ตารางวา มีบันไดอยู่ตรงกลางบ้านระหว่างบันไดมีชานพักเล็กๆ

เนื่องจากรายได้ยังไม่เยอะมาก ประกอบกับไปดูราคาเริ่มต้นแล้วราคาบ้านไม่สูงมาก ตอนนั้นประมาณ 500,000 บาท เลยตัดสินใจถือเงินห้าหมื่นบ้านไปประมูลกับกรมบังคับคดี ปรากฏว่าประมูลได้ ก็ดีใจครับจะได้มีบ้านหลังแรกกับเขาสักที

พอประมูลได้เสร็จ ตอนนั้นเจ้าของบ้านเดิมย้ายออกจากบ้านไปแล้ว ผมเลยถือวิสาสะแอบย่องเข้าไปในบ้าน โดยแอบปีนหน้าต่างชั้นหนึ่งเข้าไป ตอนเข้าไปภายในบ้านมืดมากเพราะหน้าต่างมีเพียงด้านหน้าบ้านและหลังบ้านมีการทำหลังคาทึบแสง เลยไม่มีแสงเข้ามาจากทางหลังบ้านมากนัก

ตอนที่เข้าไปบ้านเจอพวกศาลเจ้าจีนเก่าๆ ที่วางกับพื้นผมไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไรนะครับ แล้วพวกรูปปั้นเล็กๆ ความสูงประมาณสักคืบหนึ่ง วางไว้เรี่ยราด และก่อนขึ้นบันไดเจอถาดเล็กๆ ถ้วยข้าวเล็กๆ กับขนมชิ้นเล็กๆ วางไว้ก่อนทางขึ้นบันได

ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไรบวกกับความตื่นเต้นที่แอบเข้าบ้านคนอื่น (ยังไม่ได้โอนเป็นของเรา) เลยพุ่งตัวขึ้นบันไดขึ้นไปชั้นสอง แต่ตอนที่เดินขึ้นชั้นสองนั้น ตอนที่ผ่านชานพักบันไดมีความรู้สึกแปลกๆ คือรู้สึกแบบเย็นยะเยือกแบบขนลุก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เลยพุ่งตัวขึ้นไปชั้นสอง ข้างบนก็ไม่มีอะไรครับ มีห้องนอนอยู่สองห้องตามปกติ

หลังจากนั้นชีวิตก็ดำเนินผ่านไปตามปกติ กู้เงินธนาคารผ่าน ทำการโอนจากกรมบังคับคดีมาเรียบร้อย ก่อนหน้าที่จะย้ายเข้าบ้านนั้นสักประมาณสองสามอาทิตย์ มีเพื่อนบ้านมาคุยด้วยแล้วมาถามว่า ทำไมน้องซื้อบ้านหลังนี้เหรอ ไม่รู้เหรอว่าบ้านนี้มีประวัติไม่ดี อ้าวววว…งานเข้าล่ะสิครับ เลยถามเขาว่าอย่างไงเหรอพี่

ได้ความว่าเจ้าของบ้านคนเก่าที่เป็นผู้หญิง ขออนุญาตตั้งชื่อว่ายายดาละกันนะครับ เขาอยู่บ้านหลังนั้นกับสามีเขา แล้วก็ผู้หญิงอีกคน (ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ผมก็ไม่อยากเดา) วันหนึ่งยายดากับผู้หญิงคนนี้กินเบียร์กันเวลาประมาณเที่ยงคืน แล้วยายดาก็วิ่งไปหาเพื่อนบ้านคนที่เล่านี้

“มันตายแล้วๆ คอหักตาย!”

ตอนนั้นยายดาด้วยความเมาและพูดจาไม่รู้เรื่องบวกกับอารมณ์ตกใจ ทำให้เพื่อนบ้านฟังไม่เข้าใจ เพื่อนบ้านคนนี้เขาเลยตามยายดาไป ปรากฏว่าไปเจอศพผู้หญิงคนนั้นนอนคอหักตายที่ชานพักบันได หลังจากที่พบศพ ยายดาติดคุกรอสอบสวนพยานหลายอาทิตย์อยู่ จนสามียายดาทำเรื่องประกันตัวยายดาออกจากคุก ด้วยความที่ว่าเวลามันผ่านไปหลายอาทิตย์ ศพก็ยังไม่ได้ทำพิธีกรรมทางศาสนา

มาถึงจุดนี้ขนผมก็ลุกซู่สิครับ อ๋อ…ที่เรารู้สึกแปลกๆ ตอนที่แอบเข้าบ้านมันคือเรื่องนี้สินะ เราสัมผัสสิ่งที่เรามองไม่เห็นสินะ ขนเราลุก แล้วไอ้ถ้วยเล็กๆ ที่วางอยู่ตรงชานพักมันคืออะไร มันคือเครื่องเซ่นใช่ไหม?? ตอนนั้นหัวใจมันเต้นตึกๆ ด้วยความกลัว แต่ทำไงได้บ้านก็ซื้อไปแล้ว จะทำไงดีล่ะทีนี้

พอเงินมีน้อยเราก็มีตัวเลือกในชีวิตไม่มากนัก สรุปคือผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ครับ

คืนแรกที่เข้าไปนอน อากาศค่อนข้างร้อนเพราะทางบ้านได้เก็บไอร้อนตอนกลางวันเอาไว้ และตอนนั้นบ้านยังไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ผมพยายามข่มตานอนจนถึงห้าทุ่ม เที่ยงคืนก็ไม่สามารถนอนได้ และหูก็แว่วได้ยินเสียง เหมือนกับคนเคาะแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดเป็นจังหวะดัง แต๊ะ แต๊ะ แต๊ะ ด้วยความปอดแหกส่วนตัวกับความกลัวของประวัติบ้านหลังนี้ ตอนนั้นเลยลุกออกจากเตียง เก็บกระเป๋า แล้วขับรถออกจากบ้านเลย ถามว่าไปไหน? ขับรถออกจากบ้านไปเปิดโรงแรมนอนครับ เพราะไม่สามารถนอนได้จริงๆ สำหรับคืนนั้น!

สรุปคืนแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น…

กลับไปสู่คำพูดที่ว่า “พอเงินมีน้อยเราก็มีตัวเลือกในชีวิตไม่มากนัก” บ้านก็ซื้อไปแล้ว ถ้าไม่นอนบ้านที่ซื้อแล้วเราจะไปนอนไหน

หลังจากคืนที่หนึ่งไม่สามารถหลับลง ก็พยายามทำใจให้อยู่กับบ้านหลังนี้ให้ได้ ตอนกลางวันก็พยายามอยู่บ้านให้มากขึ้น ตอนนอนก็พยายามไม่คิดอะไร ตอนกลางคืนจะเปิดไฟตรงชานพักบันไดที่ (คาดว่า) เกิดเหตุให้สว่างเข้าไว้ ปรากฏว่าก็นอนได้แหะ ถึงแม้ว่าบางคืนจะสะดุ้งกลางดึก ก็กลัวจะมองเห็นคนมายืนหราปรากฏตัวที่ปลายเท้าเหมือนกัน

ปรากฏว่า ก็สามารถอยู่กับบ้านหลังนี้ได้แหะ ยกเว้นว่า บางคืนดึกๆ ตอนนอนไปแล้วได้ยินเสียงชักโครกกดเอง อารมณ์ประมาณเสียงกดชักโครกน้ำไหลนะครับ กดแบบกดจริงๆ นะ แบบเสียงดังโครกครากเลย ประตูห้องนอนที่วันหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ ประตูห้องเปิดเอง แต่ตอนนั้นกำลังง่วงขั้นสุดประกอบกับอยู่บ้านหลังนี้มาสักระยะแล้ว ตอนนั้นเดินลุกขึ้นไปปิดประตูห้องที่เปิดเอง แล้วก็นอนหลับต่อหน้าตาเฉย

เหตุการณ์แปลกๆ ที่ว่าก็ผ่านไปเรื่อยๆ แต่แปลกมากคืออยู่บ้านหลังนี้แล้วชีวิตดีขึ้นมาก เรื่องงานการ ทำอะไรสิ่งใดไม่ติดขัดเลย ลาภลอยก็มีเยอะมาก เลยคิดว่าปกติผมทำบุญหรือทำอะไรดีๆ ผมจะคิดถึงสิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้เสมอ เขาอาจจะมาช่วยเกื้อหนุนเรา

เวลาผ่านไปเกือบปี พี่สาวบอกว่าทำไมไม่ทำบุญบ้าน เราก็บอกว่ามันสิ้นเปลือง ทำบุญบ้านก็เสียตังค์ไปเปล่าๆ แต่ด้วยที่พี่สาวติงบ่อยๆ เราก็เลยต้องทำ

ยังจำได้วันที่ทำบุญวันนั้นเป็นวันศุกร์ ตอนนั้นทำบุญตอนเช้า ก็ไม่มีอะไรเหตุการณ์ ผ่านไปปกติ พอตกเย็นประมาณสักสองสามทุ่ม ผมอยู่บ้านคนเดียวตอนนั้นกำลังจะออกจากบ้าน เผอิญว่าปวดห้องน้ำ เลยเข้าห้องน้ำ ตำแหน่งห้องน้ำชั้นหนึ่งจะอยู่ติดกับชานพักบันไดที่เกิดเหตุ

เท้าความนิดหนึ่ง บ้านผมเป็นทาวน์เฮ้าส์ ซื้ออยู่ตรงกลางซอยเลยจะมีบ้านข้างๆ ประกบอยู่ซ้ายขวา ทางด้านขวาของบ้านผมจะเป็นบ้านร้างไม่มีใครอยู่ ส่วนด้านซ้ายบ้านนั้นเขาอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก ตอนที่ผมเข้าห้องน้ำอยู่ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรกลิ้งตกบันไดมา กลุก กลุก กลุก กลุก ดังขึ้นดังลงวนไปมา ตอนนั้นผมคิดว่าบ้านข้างๆ ที่มีเด็กเขาเล่นอะไรกันตรงบันได เพราะบันไดบ้านผมกับบ้านเขาผังมันติดกัน ผมเลยไม่ได้คิดอะไร เลยรีบออกมาเที่ยว คืนนั้นก็เที่ยวกลับมาบ้านค่อนข้างดึก ประมาณตีสองตีสามได้

ผ่านมาสองสามวัน เจอพี่สาวในซอยหมู่บ้าน

พี่สาว: น้อง…คืนวันศุกร์ น้องอยู่บ้านหรือเปล่า?

ผม: เปล่า ทำไมเหรอ

พี่สาว: ….

ผม: ว่าไง ถามทำไมเหรอ

พี่สาว: แล้วกลับบ้านกี่โมง

ผม: (เริ่มรำคาญ ตกลงจะถามอะไรเนี่ย) กลับดึกๆ ประมาณตีสอง

พี่สาว: ข้างบ้านน้องมาถามว่าวันนั้นน้องทำอะไร เห็นขึ้นๆ ลงบันไดเกือบทั้งคืน

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

คืนวันนั้นเป็นวันศุกร์ ผมไม่ได้อยู่บ้านเลยเกือบทั้งคืน ที่คิดว่าบ้านข้างๆ ทำเสียง ปรากฏว่าไม่ใช่บ้านข้างๆ สินะ แสดงว่าเสียงมันมาจากบันไดบ้านผม!

บทจะเฮี้ยนก็เฮี้ยนขึ้นมา ตอนวันที่ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ วันอื่นก็ไม่ขนาดนี้นะ ชักโครกกดแล้วก็จากไป ประตูก็เปิดทีเดียวไม่ได้มาเปิดซ้ำ แต่วันนั้นเพื่อนบ้านบอกว่าได้ยินเสียงวิ่งขึ้นวิ่งลงเกือบทั้งคืน เขาถึงขั้นทนไม่ไหวต้องมาถามกับพี่สาวผมว่าผมทำอะไรเสียงดังทั้งคืน!

วิญญาณคนที่เสียชีวิตแล้วไม่ไปไหน ยังคงยึดติดกับสถานที่เดิมที่ตนตาย มีหลายสาเหตุ

  1. เพราะวิญญาณบางดวงมีกรรมหนักยังคงต้องชดใช้อยู่
  2. เพราะวิญญาณบางดวงยังมีห่วงอยู่ ห่วงครอบครัว ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงญาติ
  3. เพราะวิญญาณบางดวงมีความแค้นแบบฝังหุ่น
  4. เพราะวิญญาณบางดวงยังคงผูกติดกับทรัพย์สมบัติ
  5. เพราะวิญญาณบางดวงรอตัวตายตัวแทน
  6. เพราะวิญญาณบางดวง ถูกคนมีอาคมมีวิชากั้นไว้ ทำให้ไปไหนไม่ได้

ซึ่งผมก็เชื่ออย่างนั้นแหละ สิ่งที่ผมมองไม่เห็นตัว แต่คืนวันที่ทำบุญบ้านใหม่ เขาอาจจะรับรู้ เพราะว่าผมเชิญพระมาสวดทำบุญบ้าน เขาอาจจะได้ยินเสียงพระสวดแล้วอาจจะพึ่งระลึกได้ ว่าเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว

หลังจากเหตุการณ์เสียงดังตรงบันไดบ้าน ผมก็ทำบุญกุศลไม่ว่าเรื่องเล็กๆ อย่างเช่น ช่วยพวกสัตว์เลื้อยคลานที่เขานอนหงายกลางถนน ที่ตะเกียกตะกายจะพลิกตัว ทำบุญตามตู้ตามวัด ทำบุญผ้าป่า ทำบุญตักบาตร ผมก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาทุกครั้ง ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันก็เหอะ แต่ก็ภาวนาให้เขาหลุดพ้นจากจุดนี้ ให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น เพราะคิดว่าถ้าเราไปอยู่จุดที่เขาอยู่มันคงทรมานและน่าเวทนามาก ที่จะต้องติดค้างอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ผมไม่รู้ว่าบุญกุศลที่ทำให้เขานั้นถึงหรือเปล่า แต่ผมก็อยู่บ้านหลังนั้นได้ โดยที่ไม่ค่อยกลัวแล้วเพราะจิตที่รู้สึกสงสารเขามากกว่า

เขาว่ากันว่า ถ้าบ้านมีอาถรรพ์แต่เจ้าของบ้านจิตแข็ง และเป็นคนดีมีศีลธรรม เจ้าของบ้านจะทนแรงอาถรรพ์ได้ ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนดีหรือว่าเป็นคนจิตแข็ง แต่คิดว่าน่าจะจิตแข็งมากกว่า ความเป็นอยู่ผมเริ่มดีขึ้น ชีวิตเริ่มเข้าที่ตามอายุที่มากขึ้น เสียงดังแบบไม่มีสาเหตุในบ้านอาจจะเกิดขึ้นบ้าง แต่หลังๆ ผมไม่สนใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง…

วันนั้นพ่อกับแม่ผมมาเยี่ยมโดยเอาหลานคนเล็กมาด้วย หลานคนเล็กอายุตอนนั้นประมาณ 2-3 เดือน เรียกว่านอนผ้าอ้อมอยู่ ด้วยความที่เป็นทาวน์เฮ้าส์หลังเล็ก แม่ผมก็นอนเล่นกับหลานคนเล็กอยู่บนห้องนอนของผม ซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน โดยที่ชั้นหนึ่งของบ้านจะมีโซฟารับแขกกับทีวี

ตอนนั้นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ผมไม่ได้เปิดทีวี ผมนั่งเปิดโน๊ตบุ๊กท่องอินเตอร์เน็ตเล่นๆ ไปเรื่อย ไม่ได้เปิดเพลง หูก็ได้ยินเสียงลากเตียงจากห้องนอนดัง ครืดดด ครืดดด ครั้งแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าแม่อาจจะย้ายเตียงหรือเลื่อนเตียง

สักอึดใจ เสียงลากเตียงก็ดังขึ้นมาอีก ครืดดด ครืดดด ผมก็ยังไม่สนใจ จนเสียงครั้งที่สามดังขึ้น ครืดดดดดดด  ถึงตอนนี้ผมก็รำคาญ ผมเลยตะโกนขึ้นไปชั้นสอง “แม่จะลากเตียงทำไม มันเสียงดังน่ารำคาญ” เกิดอาการเงียบขึ้นมาอึดใจ แล้วผมก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนลงมาว่า

“แม่ไม่ได้ลากเตียงนะ”

“. . . . .”

ถึงจุดนี้ ความเงียบก็บังเกิดขึ้น ถ้าแม่ไม่ได้ลากเตียง แล้วใครลากเตียง? หรือว่ามีคนลากเตียงจริงๆ โดยที่แม่มองไม่เห็น!

หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าผ่านมายังไง รู้แต่ว่าพอกลับมาถามแม่ถึงเหตุการณ์วันนั้น แม่ก็บอกว่าวันนั้นไม่มีใครทำอะไรทั้งสิ้น แม่ผมเลี้ยงหลานอายุสองเดือนอยู่บนห้อง พ่อก็นอนอยู่บนเตียง แม่ก็ได้ยินเสียงเหมือนกัน แต่ได้ยินเสียงจากหน้าประตูที่ติดกับบันไดหน้าห้องชั้นสอง แต่ตอนนั้นแม่ไม่กล้าทำอะไร เพราะความกลัว และไม่กล้าเปิดประตูออกมาดูด้วย จนกระทั่งผมตะโกนว่าจะลากเตียงทำไม ตอนนั้นแหละ แม่เลยได้สติแล้วตะโกนออกมา และได้เปิดประตูห้องซึ่งก็ไม่ได้เจออะไร

มันเป็นสิ่งยืนยันว่า เสียงที่เกิดในบ้านมันเกิดมาจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น บางครั้งภพภูมิเราอาจจะทับซ้อนกันอยู่ บางทีโลกของเขาอาจจะเหมือนกับของเราก็ได้ มันอาจจะซ้อนกันอยู่ เขาอาจจะมองเห็นเรา แต่เรามองไม่เห็นเขา

หลังจากนั้นมาสักระยะหนึ่ง พี่สาวผมก็ไปหาคนมาทำสูตรถอน (พิธีกรรมทางเหนือ) เข้าใจว่าเป็นการเชิญวิญญาณให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ยึดติด ผมอยู่บ้านหลังนั้นสักช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็ย้ายออกมา ทุกวันนี้ถ้าครั้งใดไม่ลืม เวลาทำบุญผมก็จะคิดถึงเขาตลอด ให้เขาได้รับส่วนบุญกุศลทุกครั้ง ผมเชื่อว่า สิ่งใดก็ตามหากได้มาเกี่ยวข้องกัน มันย่อมมีเหตุ และผลที่ทำให้เข้ามาเกี่ยวข้องกัน อาจจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว การที่ผมได้มาซื้อบ้านหลังนี้ อาจเป็นโอกาสที่จะทำให้เขาได้รับบุญกุศลบ้าง เพื่อให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นก็ได้

ปล. เรื่องที่เขียนนี้ เป็นเหตุการณ์จริงมากกว่า 90% อาจจะเพี้ยนไปบ้างเนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้ตั้งใจให้ทุกคนงมงาย แต่ผมเชื่อว่าโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริง และผมเชื่อว่าถ้าเราเป็นคนดีไม่ปองร้ายใคร ก็ไม่มีใครมาทำร้ายเราครับ ผมไม่เก่งเรื่องของการแผ่เมตตา แต่ผมว่าการแผ่เมตตาจะเป็นสิ่งที่เราสื่อไปถึงสิ่งต่างๆ ได้ ทั้งที่เรามองเห็นและที่เรามองไม่เห็น และเวลาผมแผ่เมตตาทุกครั้งผมจะคิดถึงสิ่งศักกิ์สิทธิ์ที่ดูแลผม เจ้ากรรมนายเวร ญาติพี่น้องที่มีชีวิตอยู่และไม่มีชีวิตอยู่ และสัตว์โลกทั้งหลายที่ผมไม่ได้เอ่ยชื่อ หากท่านใดที่ตกทุกข์อยู่ ขอให้ความทุกข์นั้นบรรเทา หากท่านใดมีความสุขอยู่ ขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้นะครับ

ขอขอบคุณที่มา: ลุงหมีสวัสดีครับ

admin