เรื่องผี ผีหวงของ

เรื่องผี ผีหวงของ

เรื่องผี ผีหวงของ

เรื่องผี ผีหวงของ ในวัดที่เราไปบ่อยๆ มีตุ่มน้ำมนต์ขนาดตุ่มอาบน้ำธรรมดา ๆ สูงประมาณเมตรกว่า ปกติแล้วพระอาจารย์ท่านจะเอาไม้มาปิดไว้เพื่อไม่ให้มด แมลง หรือเศษใบไม้ดอกไม้ปลิวลงไปทำความสกปรก เพราะน้ำมนต์นี้ท่านมักใช้อาบให้กับญาติโยมและลูกศิษย์ลูกหาหลายคนก็มักมาขอความเมตตาแบ่งไปใช้เองที่บ้านบ้าง

วันนั้นที่ได้ไปวัด กลับเสียดึก ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์และลูกศิษย์คนอื่นที่มาพร้อมกันเพียงสองสามคนเท่านั้น คุยไปคุยมาก็ออกทะเลไปเรื่องลึกลับอีกนั่นแหละ หนึ่งในเรื่องลึกลับที่คุยกันก็คือเรื่องของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เนื่องจากจู่ ๆ คิดอะไรไม่รู้ เดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าในรถเพื่อเอามาใส่น้ำมนต์ แล้วไปเจอกำไลสำริดขนาดใหญ่นอนนิ่งอยู่ตรงก้นโอ่ง

พระอาจารย์ หรือที่เรามักเรียกติดปากว่าหลวงพี่ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนได้กำไลสำริดมา ก็ป่นเอาไปรวมกับมวลสารเวลาสร้างวัตถุมงคลแจกญาติโยมตลอด จนวันหนึ่งอาจารย์ของท่านจึงทักว่า เราไม่รู้ที่มาที่ไปของกำไล เอาไปป่นมั่วซั่วเสียของหมด

กำไลบางชิ้นสามารถนำเอามาแช่น้ำเพื่อทำเป็นน้ำมนต์ได้ เพราะเจ้าของเดิมเขาสร้างให้มีพลังทางพุทธคุณ กัน หรือล้างคุณไสยได้ด้วยซ้ำ นับตั้งแต่ถูกเตือนมา หลวงพี่เลยโยนกำไลใส่ตุ่มน้ำมนต์ไปเสียสองสามอัน แถมบางครั้งได้เพิ่มมาจากตลาดค้าของเก่าหรือญาติโยมเอามาถวาย

กำไลสำริดที่ว่านี่ เป็นของเก่าที่มักขุดค้นเจอในพื้นที่บริเวณภาคกลางและภาคอีสานในปัจจุบัน มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในราว 2500 ปีมาแล้ว ที่เรียกว่า “สมัยสำริด” ซึ่งจุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเป็นเครื่องรางในการขับไล่วิญญาณร้าย ซึ่งนิยมใส่กันตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา แต่กำไลสำริดที่พระอาจารย์มีนั้นน่าจะเป็นศิลปะในยุคทวารวดีมากกว่า ซึ่งดูจากสภาพแล้วมันใหญ่เกินกว่าที่จะใส่ข้อมือคนเสียด้วย

ความสงสัยนี้ ไม่เพียงแต่เกิดกับบรรดาญาติโยมที่เห็นกำไลเท่านั้น แม้แต่พระที่เป็นสหธรรมิกกับหลวงพี่เองก็สงสัย ท่านหลุดปากออกไปวันหนึ่งว่า

“โอ้ยท่าน ดูสิ… ใหญ่ขนาดนี้สงสัยเอาไปใส่ข้อเท้าล่ะมั้งผมว่า ใส่ข้อมือคงไม่ไหว ถ้าบอกว่าเอาทำเป็นตรวนล่ะผมเชื่อ”

ซึ่งในคืนเดียวกันนี้เอง หลวงพี่ที่โดยปกติแล้วจะเจริญสติก่อนเอนตัวลงนอนทุกครั้ง และท่านก็ไม่เคยฝันเลย มาคืนนั้นท่านฝันว่า มีชายผิวดำแดง รูปร่างสูงใหญ่ใส่เครื่องทรงเหมือนกษัตริย์ตามที่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องทรงของ “เจ้า” ในสมัยทวารวดี ท่อนบนเปลือยคาดสังวาร ท่อนแขนประดับด้วยเครื่องประดับมีมูลค่า

แต่ที่สะดุดตาคือสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกำไลสำริดที่ท่านได้มาจากโยมคนหนึ่ง เป็นกำไลอันเดียวกันกับที่เพื่อนของท่านพูดติดตลกไปเมื่อกลางวันว่า “เอาไว้ทำตรวน” ซึ่งในภาพฝันมันติดอยู่กับแขนท่อนบนของชายคนนั้น เขาถอดมันออกมาจากแขนแล้วยื่นให้พร้อมพูดว่า

“ท่าน…เราขอถวายสิ่งนี้” จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป

วันรุ่งขึ้นท่านเล่าความฝันให้กับสหายฟัง พระเพื่อนถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แล้วเล่าว่าตนเองก็ฝันถึงชายคนดันกล่าวเช่นกัน แต่สำหรับตนแล้วนั้น ชายคนดังกล่าวกลับยืนพนมมืออยู่ตรงหน้า แล้วชี้ไปที่แขนท่อนบน กล่าวว่า “ท่านขอรับ…สิ่งนี้คือกำไลถ่วงแขน เป็นสำริด ใส่เอากำลัง หาใช่ตรวนดังที่ท่านกล่าวไม่” พูดเสร็จก็หายไป

กำไลโบราณที่หลวงพี่ได้มา บางครั้งท่านก็ไปเดินในตลาดพระ ตลาดของเก่า เจอก็ซื้อมาไว้ด้วยเพราะตนเองชอบในศิลปะอยู่แล้ว แต่ไม่ได้พยายามเสาะแสวงหาให้ได้มาแต่อย่างใด หลายครั้งที่คนขายเล่าว่า คนที่เอามาปล่อยต่อนั้นไม่สามารถครอบครองไว้เองได้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายทำได้เพียงผลักให้ของชิ้นนี้พ้นไปเสียจากชีวิต แม้แต่หลวงพี่เองก็ยอมรับว่าเคยฝันประหลาดเกี่ยวกับวัตถุโบราณเช่นกัน บางครั้งท่านก็ไม่ต้องไปไหนก็มีคนเอามาถวายให้ที่วัด เพราะเมื่อเก็บไว้เองก็มีแต่เรื่อง “ซวย” เข้ามาในชีวิต

ครั้งหนึ่งที่ญาติโยมเอาของเก่ามาถวาย ไม่ใช่แค่กำไลสำริด บางครั้งมีเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ตู้พระเก่า ๆ หรือแม้แต่พระพุทธรูปโบราณ ฯลฯ จนท่านพูดติดตลกว่า…

“ไม่ใช่อาตมากลายเป็นรับของโจรนะโยม?”

ถึงกระนั้นท่านก็กอบเอาของพวกนี้มารวม ๆ กันแล้วสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของเดิม ด้วยประสบการณ์ท่านเล่าว่า ของโบราณในบางครั้งเจ้าของเขาหวง

ในบ่ายวันหนึ่งที่ท่านสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลอยู่ เมื่อจบบทก็มีเสียงระเบิดปังดังลั่น เล่นเอาพระลูกวัดทุกรูปกรูเข้ามาที่กุฏิท่านด้วยความตกใจ หนึ่งในพระลูกวัดเล่าอย่างขนพองว่า ท่านบังเอิญละสายตาจากการท่องบาลีแล้วมองลอดหน้าต่างมาที่กุฏิหลวงพี่พอดี เห็นลำแสงพุ่งตัดแสงอาทิตย์ขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะเดียวกันกับที่มีเสียงระเบิด

ในภายหลังผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนได้รับคำตอบว่า วิญญาณที่ผูกมัดกับสิ่งของเหล่านี้ถูกปลดปล่อย ด้วยแรงจิตแห่งศากยบุตรจึงมีเสียงระเบิดขึ้น คล้ายกับว่าพวกเขาถูกจองจำไว้นานด้วยความปรารถนาของตน แต่ผู้แกะพันธนาการจนสำเร็จคือพระที่ส่งจิตแผ่เมตตาไปให้

หลวงพี่เล่าไปถึงเรื่องของวัดกุฎีดาว ที่อยู่เยื้องวัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่าครั้งหนึ่งในยุค “ตื่นทอง” ที่ผู้คนพากันขุดกรุหาสมบัติในบริเวณวัดของจังหวัดเก่าแก่ ที่หนึ่งก็คือวัดกุฎีดาว ท่านได้ฟังมาจากอาจารย์ว่า สมัยนั้นพอตกกลางคืนก็มีเสียงขุดหาสมบัติกันยกใหญ่ตามลายแทงที่ได้มา พอเช้าทุกอย่างก็เงียบสงบ เป็นไปเช่นนั้นจนกระทั่งเจอสมบัติ

สมบัติที่ว่ากลับทำให้ทีมขุดซึ่งนำโดยเจ้านายพระองค์หนึ่งถึงกับมองหน้ากันเลิกลั่ก เพราะสิ่งที่ได้มาคือพระเครื่องทองคำเพียงสี่ห้าองค์ กับไหเซรามิคขนาดใหญ่ที่ปากไหเล็ก แต่ท้องไหนกับเป่งออกมาอย่างไม่สมส่วน ทีมขุดจึงจัดการทุบไหสามสี่อันออกเสียหมด

เมื่อไหใบสุดท้ายแตกออก มีเสียงระเบิดตูมใหญ่จนหลายคนนึกว่าเครื่องจักรขนาดใหญ่ระเบิด ผู้ที่อยู่รอบบริเวณก็ถึงกับขนพองสยองเกล้า เนื่องจากเห็นลำแสงประหลาดพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงบริเวณที่ค้นพบไหและพระเครื่อง ในขณะที่ผู้ล้อมวงทุบไหกลับไม่เห็นหรือไม่ได้ยินอะไรเลย

สิ่งที่อยู่ในไหมีเพียงกะโหลกศีรษะของคนสี่คนเท่านั้น แต่สิ่งที่ยังเป็นข้อกังขาก็คือ… เหตุใดกะโหลกที่ใหญ่กว่าปากไหจึงเข้าไปอยู่ในนั้นได้? หากกล่าวว่าใส่ไปพร้อมกับการปั้นขึ้นรูปก็ไม่น่าใช่ เพราะกระดูกน่าจะป่นเป็นเถ้าเมื่อนำไหดังกล่าวไปอบด้วยความร้อนตามกรรมวิธีการผลิต

เล่ากันว่า นอกจากไหและพระเครื่อง ยังค้นพบแผ่นจารึกเล็ก ๆ ที่ใครหลายคนทึกทักเอาว่าเป็นใบเสมา แต่กลับสลักคำแช่งลักษณะที่ว่า หากมันผู้ใดบังอาจนำสมบัติที่แอบซ่อนเอาไปแม้แต่ชิ้นเดียว จะมีอันเป็นไปนับตั้งแต่นั้น…

หลังจากที่พบสมบัติเพียงเท่านี้ ผู้นำทีมจึงเอาไปเพียงพระเครื่องทองคำ ส่วนสิ่งที่เหลือก็ทำลายฝังจมไว้เนื่องจากไม่มีมูลค่าใด ๆ เล่ากันว่าหลังจากนั้นทีมขุดก็ประสบกับปัญหาชีวิต บ้างก็ฆ่าตัวตาย บ้างครอบครัวแตกสาแหรกขาด กลุ้มจนเป็นบ้า แต่หลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันที่สุดที่เชื่อกันว่าเป็นอาถรรพ์ ก็คือผู้นำทีมขุดที่ต้องไปสิ้นชีวิตอยู่บนม้านั่งริมทางรถไฟแห่งหนึ่ง ณ ประเทศในแถบยุโรป

หลวงพี่เมตตาให้ความรู้ว่า ในการที่คนหนึ่งจะสละตนเองเฝ้าทรัพย์สมบัติ เขาจะต้องทำจิตให้หวงของเหล่านี้ ปาวารณาตนว่าจะเฝ้ามันไว้ชั่วกาล และทำหน้าที่ในการ “ย้าย” สมบัติเมื่อมีใครละโมบมาขุดค้นจนกว่าจะพบผู้ที่เหมาะสมและมีกรรมผูกพันกับสมบัติดังกล่าวจึงจะมอบให้

เรื่องย้ายสมบัตินี้มีเรื่องเล่าว่า บางครั้งคนที่อยู่ในบริเวณที่คาดว่าจะเป็นกรุสมบัติ ก็ได้ยินเสียง “ครึ่ก” ยาวในตอนกลางคืนเหมือนมีอะไรบางอย่างมุดดินอยู่ เพราะบางครั้งในการขุดสมบัติเมื่อมีวี่แววจะพบแล้วเขาก็ทำสัญลักษณ์ล้อมเอาไว้ แต่เมื่อกลับมาขุดก็ไม่พบเสียแล้ว ซึ่งผู้ที่เฝ้าสมบัตินั้นเมื่อตั้งจิตปรารถนาเช่นนั้น ก็จะทำการปาดคอตนเองให้เลือดหลั่งรดสมบัติที่ฝังไว้ คนที่เหลือจึงจัดการทำพิธีกรรมเอากระดูกหรือร่างยัดใส่ภาชนะแล้วฝังไปพร้อมกับสมบัติก่อนจะอ่านโองการแช่งตามลำดับขั้นตอน

เรื่องปู่โสมฯ เห็นทีจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ ซึ่งเรื่องของวิญญาณหวงของอาจต้องยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังอีกเรื่อง คือการที่มีโยมคนหนึ่งเอาตลับสีผึ้งมาให้หลวงพี่ดู เขาเล่าว่าทุกคืนตั้งแต่ซื้อตลับสีผึ้งมาจากร้านของเก่า คนในบ้านก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปมาในบ้าน หนักเข้าก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด เช่น ประตูหน้าต่างกระแทกปิดโดยไม่มีลม หรือข้าวของย้ายที่ได้เอง บางครั้งมีเสียงกรีดร้องดังในบ้าน

คนที่ซื้อตลับสีผึ้งมาทนไม่ไหวจึงพามาให้หลวงพี่ช่วยแก้ปัญหาให้ หลวงพี่เล่าว่าแทบไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมากเลย เมื่อโยมอีกคนขอไปดูบ้าง เขาควักกล้องส่องพระออกจากกระเป๋าแล้วส่องดูรายละเอียดเนื่องจากเป็นพวกชอบของเก่าเหมือนกัน แต่กลับผงะเมื่อเห็นหยดเลือดแห้งกรังติดอยู่ตามซอกของตลับ

เมื่อยื่นให้หลวงพี่ดู ท่านก็ยืนยันว่าเป็นหยดเลือดสีน้ำตาลแห้ง ๆ ติดอยู่จริง โยมที่เป็นเจ้าของตลับสีผึ้งจึงตัดสินใจ “ถวาย” ไว้ที่วัดโดยทันที เพื่อให้หลวงพี่ได้สวดมนต์แผ่เมตตาให้กับวิญญาณของเจ้าของเก่าที่ยังหวงของตัวเองอยู่ หลวงพี่ได้แต่ส่ายหัวแล้วบ่นให้ฟังว่า คนที่อยากได้ไม่เคยมาปรึกษา พอได้มาแล้วมีผีก็ไม่พ้นพระต้องแก้ให้ทุกที…

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

admin