เรื่องผี เสื้อมือสอง

เรื่องผี เสื้อมือสอง

เรื่องผี เสื้อมือสอง

เรื่องผี เสื้อมือสอง วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ซื้อเสื้อมือสองของเพื่อนร่วมงาน แบบไม่ศึกษาที่มาของเสื้อ เมื่อ 3 ปีก่อน เราทำงานอยู่ออฟฟิศแห่งหนึ่ง ออฟฟิศเรามีพนักงานทั้งหมด 10 คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด เป็นงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีเงินกู้นอกระบบ เพื่อนร่วมงานเรามีคนที่อายุน้อยที่สุด 1 คน เป็นวัยรุ่น ชอบซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัด เพราะใส่แล้วทิ้งแบบไม่เสียดายแล้วก็ราคาถูก

ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศเริ่มหนาวมาก น้องมันเลยชวนเราไปเดินตลาดนัดเปิดท้าย เพื่อหาซื้อเสื้อกันหนาวมือ 2 ใส่ เราก็ไปเป็นเพื่อนมัน เราขอไม่เปิดเผยชื่อของเพื่อนร่วมงานนะคะ (ขอใช้นามสมมติว่าเอ) เอพูดว่า

“พี่ หนูจะไปซื้อเสื้อไปเป็นเพื่อนหนูหน่อย”

เราก็เดินในตลาดนัดเปิดท้าย สักพักก็เดินมาเจอร้านขายเสื้อมือ 2 ร้านนี้มีเสื้อกันหนาวเยอะมาก ราคาตัวละไม่เกิน 30 บาท คือถูกมาก ปกติที่เคยมาซื้อเป็นเพื่อนน้องเอ จะเจอร้านที่ขายตัวละ 70-80-90 บาท บางทีก็ตัวละ 100+ แต่ไม่เคยเกิน 150 แต่ครั้งนี้เป็นร้านมาตั้งใหม่ เพิ่งเคยมาขายครั้งแรก น้องเอเห็นว่าเสื้อสวยมาก บางตัวเหมือนเป็นแบรนด์เนม สภาพดีมาก ไม่มีตำหนิเลย

น้องเลือกสักพักก็ได้เสื้อแขนยาว สีแดงตัวนึง ราคา 40 บาท ตอนนั้นคือตกใจ ว่าทำไมถูกจัง เราเองเป็นคนมีเซ้นส์เรื่องแบบนี้รู้สึกแปลกๆ เลยถามคนขายว่า

“ลุง! เสื้อผ้าพวกนี้มาจากไหนเหรอ ทำไมมันยังดูใหม่อ่ะ แล้วทำไมลุงขายถูกจัง ถึงจะเป็นมือ 2 ก็เหอะ”

ลุงคนขายแกตอบว่า “หลานลุงไปรับมาจาก กทม. บางตัวก็เพื่อนหลานเอามาให้ขาย”

เราเลยว่า “อ่อ แบบเขาใส่ไม่ได้เหรอลุง เลยเอามาขายดีกว่าทิ้งเนอะ”

พอจ่ายตังเสร็จ ก็ชวนกันเดินซื้ออะไรกินนิดหน่อย เพราะงานยังไม่เสร็จ แล้วมันเป็นวันสิ้นเดือนต้องอยู่ทำเงินเดือนจนดึก เลยต้องหาเสบียงไว้ เพราะในออฟฟิศจะรู้กันว่า ถึงวันทำเงินเดือน จะต้องอยู่จนเกือบเที่ยงคืนหรือบางทีก็ตี 1-2 ก็มี เพราะเช้าของวันที่ 1 จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานทั้งหมด เลยต้องหาขนมหรือของกินไว้กินตอนดึกๆ เพื่อไม่ให้ง่วง

พอหาซื้อของกินเสร็จ ก็กลับออฟฟิศ พอถึงก็ทำงานกัน วันนั้นงานยุ่งมาก กว่าจะได้กลับบ้านก็ตี 1 กว่าแล้ว พวกน้องๆ พี่ๆ ในออฟฟิศก็ทยอยเสร็จงานกลับบ้านนอนกันไปทีละคนสองคน จนเหลือเรากับพี่ที่เป็นหัวหน้าตรวจสอบ เพราะพี่หัวหน้ายังไม่เสร็จงาน ส่วนเราบ้านอยู่ใกล้กับออฟฟิศแค่ประมาณโลเดียว ก็เลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนพี่เขาเพราะมันดึกแล้ว เพื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน

เราก็เปิดโน๊ตบุ๊คดูยูทูปไปพลางๆ เพื่อรอพี่หัวหน้าเสร็จงานเวลาประมาณตี 2 เราได้ยินเสียงคนเคาะโต๊ะดังมาจากโต๊ะของน้องเอ ออฟฟิศเราเป็นบ้านแต่มีห้องกระจกสำหรับทำงาน เป็นห้องยาวพอที่จะจัดโต๊ะทำงานของคน 10 คน

การวางโต๊ะทำงานจะแบ่งเป็นสองแถว แถวหน้าและแถวหลังหันหน้าออกไปทางเดียวกันหมด แถวหน้ามี 3 คน แถวหลัง 7 คน (ที่แถวหน้าน้อยเพราะเว้นช่องสำหรับประตู) โต๊ะของน้องเอและของพี่หัวหน้าอยู่แถวหลังเหมือนกัน

เราได้ยินเสียง ก๊อกๆๆๆ คล้ายกับมีคนเคาะโต๊ะสามถึงสี่ที เสียงมันชัดมาก จนรู้ว่ามาว่าโต๊ะไหน เราหันไปมอง (ขอใช้ชื่อแทนพี่หัวหน้าว่าบี) เราหันไปมองหน้าพี่บี แล้วพี่บีก็พยักหน้า นั่นคือเป็นการส่งสัญญาณว่าได้ยินเหมือนกัน เพราะเรากับพี่บีมีสัมผัสพิเศษเหมือนกัน แต่พี่บีแรงกว่าถึงขั้นเห็นเป็นเงาในทุกที่เลย

พี่บีก็มองไปที่โต๊ะของเอ เราเองด้วยความสงสัย เลยเดินไปดูว่ามีอะไร ก็ดึงเก้าอี้ออกมา เปิดดูลิ้นชักดูนู่นนี่ ที่พอจะทำให้เกิดเสียงได้ ก็ไม่มี เจอแต่ถุงเสื้อมือสองที่ไปซื้อพร้อมกัน เลยหยิบออกมาแล้วพูดกับพี่บีว่า

“ไอ้เอมันคงง่วงจัด มันลืมเสื้ออีกแล้วเนี่ยพี่”

พี่บีก็บอกเก็บให้มันด้วย เดี๋ยวมันนึกได้มาหาแล้วไม่เจอ เราก็เก็บเข้าลิ้นชักที่เดิม แล้วเดินไปที่โต๊ะ พอหย่อนตูดลงเก้าอี้ก็มีเสียงดังมาอีก

“ก๊อกๆๆๆๆ”

มันเป็นเสียงเคาะ เหมือนมีคนอยู่ในลิ้นชักแล้วเคาะเสียงมันชัดมาก จนเราและพี่บีเริ่มหวั่นมองหน้ากันตลอด พี่บีก็รีบปั่นงานให้เสร็จไวๆ แล้วเราก็เดินไปดูอีก ดูทุกซอกทุกมุมว่ามันคือเสียงอะไร แต่ก็ไม่มี พอเดินกลับมาโต๊ะก็ดังอีก เป็นแบบนั้นอยู่ 4-5 รอบ จนพี่บีเสร็จงาน ก็รีบปิดโน๊ตบุ๊ค เก็บของเตรียมตัวกลับกัน

ตอนที่เรากำลังปิดไฟทุกดวง ปิดแอร์ กำลังจะเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงอีกแต่รอบนี้ไม่เคาะ เป็นเสียงเหมือนจะมีคนพังโต๊ะ เป็นเสียงปังๆ! ปึ้งๆ! รัวๆ แล้วก็มีเสียงคนร้องไห้ เรากับพี่บีมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช่คนแน่ จึงรีบออกจากบ้านแล้วปิดล๊อคประตู เราคว้ามอเตอร์ไซค์ ขับออกมารอพี่บีตรงหน้าประตูรั้วบ้าน เพราะพี่บีต้องเดินอ้อมไปทางหลังบ้านเพื่อไปขับรถออกมา พอพี่บีขับรถออกมาก็บอกว่า

“เกดรีบกลับไหม ไปบ้านพี่แป๊บนึง”

เราก็บอกพี่บีไปว่า “ไม่รีบพี่ งั้นคืนนี้หนูไปนอนบ้านพี่นะ เดี๋ยวกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อน” พี่บีตอบตกลง เมื่อไปถึงบ้านแล้ว พี่บีก็จอดรอ เราก็รีบไปเอาเสื้อผ้าแล้วไปบ้านพี่บี พอไปถึงพี่บีเล่าให้ฟังว่า

“เกด ตอนที่พี่เดินไปเอารถหลังบ้าน พี่มองเข้าไปในห้องทำงาน พี่เห็นใครไม่รู้ยืนอยู่ตรงโต๊ะเอ”

เราก็อึ้ง แล้วบอกว่า”พี่ตาฝาดป่าว” แต่ในใจรู้อยู่แล้วว่าพี่บีเห็นอะไร แต่พูดปลอบใจตัวเอง พี่บีบอกต่ออีกว่า

“ไม่ฝาด พี่เอาไฟแฟลชโทรศัพท์ส่องแล้วแต่เห็นไม่ชัด แต่รู้ว่าเป็นผู้หญิง ตัวสูงๆ ยืนที่โต๊ะเอ!”

เราก็พูดอีกว่า “มันดึกแล้วพี่ ตี 3 กว่าแล้วนอนดีกว่าพี่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” เพื่อตัดบทเพราะบรรยากาศเริ่มน่ากลัวขึ้น คืนนั้นระแวงกัน พี่บีกับเราเลยเปิดไฟนอนทั้งคืน

พอ 8 โมงเช้า ก็มาทำงานกันปกติ พอไปถึงเห็นเอโวยวาย ว่าทำไมของที่โต๊ะถึงกระจายออกมาข้างนอกแบบนี้ มีขโมยหรือป่าว เราบอกลองเช็คดูรึยังว่ามีอะไรหายไหม น้องบอกของอยู่ครบ แล้วก็ถามเราว่า เมื่อคืนมีใครมารื้อโต๊ะไหม เราก็บอกน้องว่าไม่มี พี่อยู่กับพี่บีจนปิดออฟฟิศ ไม่มีใครนอกจากพี่กับพี่บีแน่นอน น้องมันเห็นว่าไม่มีของอะไรหาย ก็เก็บของเข้าที่แล้วเริ่มทำงาน

พอเลิกงานก็ต่างคนต่างกลับบ้าน แล้วเรากับพี่บีก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังถึงเรื่องเมื่อคืนที่เจอ เพราะไม่อยากให้กลัวกันเวลาทำเงินเดือนดึกๆ เลยทำทุกอย่างให้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอตกเย็นเลิกงานตามปกติ เวลา 4 โมงเย็น เอกำลังจะกลับบ้าน ก็เอาเสื้อที่ซื้อมากลับไปด้วย แล้วพูดว่า เสียดายเมื่อคืนลืมเอากลับไม่งั้นเช้านี้ใส่มาโชว์แล้ว หลังจากนั้นน้องก็กลับบ้านไป

วันต่อมา น้องเอมาทำงานสาย และมีท่าทางแปลกๆ คล้ายๆ คนไม่ได้นอน ตาลอยๆ เราเลยถามน้องว่า

“อ้าว ไม่เห็นใส่เสื้อตัวใหม่มาอ่ะ”

น้องตอบว่า “ยังไม่ได้ซักอ่ะพี่”

พอถึงตอนเที่ยงพักกินข้าว น้องเดินมาหาเราแล้วเหมือนพยายามจะบอกอะไร แต่ไม่ยอมพูด แล้วเดินไปที่โต๊ะ เราก็เห็นว่าน้องแปลกๆ เลยถามว่า

“เอ มีไรป่าว เป็นไร ทำไมดูแปลกๆ นะวันนี้ ไม่ได้นอนเหรอ”

น้องตอบมาว่า “ป่าวพี่ ไม่มีอะไร…”

ตกเย็นก็กลับบ้านปกติ แต่ที่แปลกคือ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นอีกในออฟฟิศ เราก็คิดว่าเออดีละ ที่ไม่มีอะไรมาก ไม่งั้นคนอื่นที่ไม่ใช่เรากับพี่บีเจอ เขาจะกลัวแล้วไม่กล้ามาทำงาน

พอวันต่อมา เอก็มาทำงานสายอีก คราวนี้แปลกมา หน้าตาดูเหมือนคนอดหลับอดนอน ดูเหม่อๆ เราเลยเข้าไปคุย เราถามน้องว่าเป็นไร ไม่สบายเหรอ ทำไมหน้าตาแปลกๆ ไม่สดใสเลย น้องน้ำตาไหลแล้วพูดว่า

“หนูไม่ได้นอนมาสองคืนแล้วพี่”

เราเลยถามว่า “ทำไมไม่นอนล่ะ หรือเป็นไร”

น้องก็เล่าว่า หลังจากเอาเสื้อกลับไป ก็ใส่ไม้แขวนเก็บเข้าตู้ ตอนแรกก็ไม่มีอะไร พอตกดึก ได้ยินเสียงคนเคาะตู้เสื้อผ้า พอเปิดไฟเดินมาดูก็ไม่มี ตอนแรกคิดว่าหลานแกล้งเข้าไปหลบในตู้ แต่แหวกดูหมดแล้วก็ไม่มีใคร พอปิดประตูตู้กำลังจะเดินมาที่เตียงก็ได้ยินอีก เป็นแบบนั้นตลอด พอเคลิ้มจะหลับก็เหมือนมีคนมายืนอยู่ปลายเท้า พอลืมตามองก็ไม่มีอะไร สักพักก็มีเสียงดังมาจากในตู้อีก ทำให้ระแวงจนนอนไม่หลับ

พอวันที่สอง พี่สาวของน้องเอก็มาถามเอว่า พาใครมาบ้านด้วยรึป่าว เพราะพี่สาวของเอเห็นผู้หญิงนั่งอยู่ในห้องกับเอ เอก็บอกไม่ได้พาใครมา หลานของเอชอบเข้าไปเล่นในห้องเอ ก็เห็นผู้หญิงตัวสูงๆ ยืนอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า หล่อนพูดว่า “ผู้หญิงหน้าตาน่ากลัว ไม่ให้หนูไปเล่นที่ห้องน้าเอ” (หลานอายุ 4 ขวบ)

เอก็ถามว่าผู้หญิงที่ไหน หลานบอกเอว่า ผู้หญิงใส่เสื้อแขนยาวสีแดง ไม่ให้เล่น เอเริ่มหวั่นๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเอก็เจออะไรแปลกๆ เหมือนกัน แต่เอไม่กล้าบอกใคร กลัวโดนด่า ว่าซื้อของไม่ดู ตอนนั้นเอบอกว่าเอพอจะรู้แล้วว่าเรื่องแปลกๆ มันเกิดจากอะไร แต่เอยังไม่แน่ใจ จนคืนที่สอง เอกำลังนอนอยู่ด้วยความระแวง นอนลืมตามองไปรอบๆ ห้อง สักพักได้ยินเสียงประตูตู้เสื้อผ้าเปิดเอง

เอก็ลุกขึ้นไปดู ประตูตู้ถูกเปิดจนสุด แล้วเสื้อตัวนั้นก็ร่วงลงพื้น มันแปลกที่เป็นเสื้อตัวเดียวที่หล่น แล้วประตูตู้ที่เปิดเอง ซึ่งจะว่าลมพัดนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้ เอเลยตัดสินใจออกจากห้องแล้วไปขอนอนกับพี่สาวเอ แต่เอก็นอนไม่หลับเลย เราบอกเอว่า

“เอางี้ไหม เอาไปให้พระที่วัดไหม หรือจะรอให้ถึงวันอังคาร แล้วตามหาร้านแล้วเอาไปคืนเขา”

เอตัดสินใจว่าจะเอาไปวัดในตอนเช้าของอีกวัน…

เย็นวันนั้นเอต้องกลับบ้านไปเจอกับเหตุการณ์เดิมคือ เสียงเคาะ และก็เสียงแปลกๆ ต่างๆ เช้ามาเอเอาเสื้อมาออฟฟิศ แล้วให้เรากับพี่บีพาไปที่วัดเพื่อหาพระ เผื่อพระท่านจะพอช่วยอะไรได้บ้าง

ตอนไปถึงวัด เราไปกันสามคน เอารถพี่บีไป พอถึงวัดก็ลงจากรถกันหมด แล้วเดินไปเจอพระองค์หนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ เราก็เล่าให้พระฟัง พระท่านพูดว่า

“อ้าว แล้วโยมอีกคนในรถไม่ลงมาด้วยกันเหรอ?”

เราสามคนมองหน้ากันแล้วพูดกับพระท่านว่า “หนูมากันสามคนค่ะ!”

พระท่านเลยพยักหน้าแล้วพูดว่า “อ๋อ รู้แล้ว ไปขโมยของเขามาหรือเอาอะไรของเขามาล่ะ เขาเลยมาตามหาของของเขาคืน…”

เราเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระท่านฟัง แล้วขอให้ท่านช่วยหาวิธีแก้ พระท่านเลยบอกให้ไปเอาของสิ่งนั้นมา และท่านจะทำพิธีให้ หลังจากนั้นพระก็สวด แล้วเอาธูปเทียนวางบนเสื้อ แล้วสวดมนต์ แล้วให้สัปเหร่อเอาไปเผากลางแจ้ง

หลังจากทำพิธีวันนั้นเสร็จ เหตุการณ์ทั้งหมดก็กลับมาปกติเหมือนเดิม จนทุกวันนี้เราสามคนก็ไม่รู้ว่าเสื้อตัวนั้นมันมีประวัติอะไร ใครเป็นเจ้าของเดิม ต่างคนต่างต้องการที่จะลืมและไม่อยากหาคำตอบให้วุ่นวาย เพราะจะให้ไปถามพ่อค้า ก็ไม่เจอแล้ว เพราะไปเดินตลาดนัดเปิดท้ายกี่ทีๆ ก็ไม่เจอร้านนี้อีกเลย

ทุกวันนี้มันก็เป็นความทรงจำที่ขนหัวลุกเรื่องหนึ่งที่คอยเตือนว่า บางทีอย่าเห็นแก่ของถูก จนมองข้ามที่มาที่ไปของของเหล่านั้น บางทีเราแลกมาด้วยราคาถูก แต่บทเรียนมันให้ราคาแพงแก่เราจนไม่มีวันลืม

ขอขอบคุณที่มา จากผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า Chayamon Prakarsitsima

admin